วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2551


Le pain est un aliment de base dans de nombreuses sociétés humaines. Il est fabriqué à partir de farine, de levure ou levain, de sel et d'eau. La pâte du pain est soumise à un gonflement (pâte levée) dû à la fermentation, c'est ce qui caractérise le pain par rapport à la galette. La farine provient principalement de céréales panifiables : blé et seigle. On peut y adjoindre, en quantité modérée des farines d'autres provenances : autres céréales (orge, maïs), châtaigne, noix… En effet, les céréales panifiables se caractérisent par la présence de gluten, ensembles de protéines aux propriétés élastiques qui permettent d'emprisonner les bulles de gaz carbonique dégagées par la fermentation . C'est ce qui permet la levée de la pâte.

ทวีปเอเชีย เป็นส่วนหนึ่งของมหาทวีปแอฟริกา-ยูเรเชีย มีเขตแดนที่คลุมเครือโดยเฉพาะเขตต่อระหว่างเอเชียกับยุโรป ทวีปเอเชียกับแอฟริกาบรรจบกันที่ใดที่หนึ่งใกล้กับคลองสุเอซ (Suez Canal) ในอียิปต์ แนวเขตแดนระหว่างเอเชียกับยุโรปผ่านช่องแคบดาร์ดะเนลส์ (Dardanelles) ทะเลมาร์มารา (Sea of Marmara) ช่องแคบบอสโพรัส (Bosporus) ทะเลดำ (Black Sea) แนวสันเขาบริเวณเทือกเขาคอเคซัส (Caucasus) (บางคนว่าผ่านทะลุแอ่งคูมา-มานิช - Kuma-Manych Depression) ทะเลแคสเปียน (Caspian Sea) แม่น้ำอูราล (Ural River) (บางคนว่าผ่านแม่น้ำเอมบา - Emba River) และเทือกเขาอูรัล (Ural Mountains) ถึงหมู่เกาะโนวายาเซมเลีย (Novaya Zemlya) เอเชียมีประชากรราว 60% ของประชากรโลก
พื้นที่ที่เป็นทวีปเอเชียยังรวมถึง
เกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ที่อยู่ไม่ไกลจากแผ่นดินใหญ่

Pain


Le pain est un aliment de base dans de nombreuses sociétés humaines. Il est fabriqué à partir de farine, de levure ou levain, de sel et d'eau. La pâte du pain est soumise à un gonflement (pâte levée) dû à la fermentation, c'est ce qui caractérise le pain par rapport à la galette. La farine provient principalement de céréales panifiables : blé et seigle. On peut y adjoindre, en quantité modérée des farines d'autres provenances : autres céréales (orge, maïs), châtaigne, noix… En effet, les céréales panifiables se caractérisent par la présence de gluten, ensembles de protéines aux propriétés élastiques qui permettent d'emprisonner les bulles de gaz carbonique dégagées par la fermentation . C'est ce qui permet la levée de la pâte.

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2551

ศิลป์ พีระศรี


ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี (15 กันยายน พ.ศ. 2435-14 พฤษภาคม พ.ศ. 2505) เดิมชื่อ คอร์ราโด เฟโรชี - Corrado Feroci ชาวอิตาลีสัญชาติไทย เป็นปูชนียบุคคลคนหนึ่งของไทย โดยได้สร้างคุณูปการในทางศิลปะจนเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้ง และครูสอนศิลปะในมหาวิทยาลัยศิลปากร จนเป็นที่รักใคร่และนับถือทั้งในหมู่ศิษย์และอาจารย์ และได้รับการยกย่องเป็นปูชนียบุคคลของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ มีผลงานที่โดดเด่นหลายอย่างในประเทศไทย ได้แก่ พระราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่สวนลุมพินี และ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี

ประวัติ
ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2435 ในเขตซานโจวันนี (San Giovanni) เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี บิดาชื่อ นาย Artudo Feroci และมารดาชื่อนาง Santina Feroci เมื่ออายุ 23 ปี สามารถสอบผ่านเป็นศาสตราจารย์ จากราชวิทยาลัยศิลปแห่งนครฟลอเรนซ์ (The Royal Academy of Art of Florence)
ปี
พ.ศ. 2441 ได้เข้าศึกษาในระดับชั้นประถม หลักสูตร 5 ปี หลังจากจบหลักสูตร จึงเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนระดับมัธยมอีก 5 ปี หลังจากนั้นจึงเข้าศึกษาทางด้านศิลปะในโรงเรียนราชวิทยาลัยศิลปะ แห่งนครฟลอเรนซ์ จบหลักสูตรวิชาช่าง 7 ปีในขณะที่มีอายุ 23 ปีและได้รับประกาศนียบัตรช่างปั้นช่างเขียน ซึ่งต่อมาได้สอบคัดเลือกรับปริญญาบัตรเป็นศาสตราจารย์มีความรอบรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ศิลป์วิจารณ์ศิลป์และปรัชญาโดยเฉพาะมีความสามารถทางด้านศิลปะแขนงประติมากรรมและจิตรกรรม

ปี พ.ศ. 2466 ท่านได้ชนะการประกวดการออกแบบเหรียญเงินตราสยามที่จัดขึ้นในยุโรป ด้วยเหตุนี้จึงเดินสู่แผ่นดินสยามเพื่อเข้ามารับราชการเป็นช่างปั้นประจำกรมศิลปากร ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2466 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์สอนวิชาช่างปั้นหล่อ แผนกศิลปากร สถานแห่งราชบัณฑิตสภา
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2485 ประเทศอิตาลียอมพ่ายแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร ชาวอิตาเลียน ในประเทศไทยตกเป็นเชลยของ ประเทศเยอรมนี กับ ญี่ปุ่น แต่รัฐบาลไทยขอควบคุมตัวท่านศาสตราจารย์ คอร์ราโด เฟโรจี ไว้เอง และ หลวงวิจิตรวาทการ ได้ดำเนินการทำเรื่องราวขอโอนสัญชาติจากอิตาเลียนมาเป็นสัญชาติไทย โดยเปลี่ยนชื่อของท่านให้มาเป็น "นายศิลป์ พีระศรี" เพื่อคุ้มครองท่านไว้ ไม่ต้องไปถูกเกณฑ์เป็นเชลยศึกให้สร้าง ทางรถไฟสายมรณะ และ สะพานข้ามแม่น้ำแคว เมืองกาญจนบุรี

ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้เริ่มวางหลักสูตรวิชาจิตรกรรมและประติมากรรมขึ้นในระยะเริ่มแรกชื่อ " โรงเรียนประณีตศิลปกรรม" ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น"โรงเรียนศิลปากรแผนกช่าง" และในปีพ.ศ. 2485กรมศิลปากรได้แยกจากกระทรวงศึกษาธิการไปขึ้นอยู่กับสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลในขณะนั้นโดย ฯพณฯจอมพลป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีตระหนักถึงความสำคัญของศิลปะว่าเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งสาขาหนึ่งของชาติ จึงได้มีคำสั่งให้ อธิบดีกรมศิลปากร ในขณะนั้นคือ พระยาอนุมานราชธน ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตร และ ตรา พระราชบัญญัติ ยกฐานะโรงเรียนศิลปากรขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยศิลปากร มีคณะจิตรกรรมประติมากรรม เป็นคณะวิชาเดียวของมหาวิทยาลัยศิลปากรเปิดสอนเพียง 2 สาขาวิชาคือ สาขา จิตรกรรม และสาขา ประติมากรรม โดยมี ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรีเป็นผู้อำนวยการสอนและดำรงตำแหน่งคณบดี คนแรก

ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลไทยให้ออกแบบปั้นและควบคุมการหล่อพระราชนุสาวรีย์ และอนุสาวรีย์สำคัญของประเทศไทย โดยการปั้นต้นแบบสำหรับพระปฐมบรมราชานุสรณ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2472 - 2477 อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี พ.ศ. 2484 พระราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สวนลุมพินี และการออกแบบพระพุทธรูปปางลีลา ประธานพุทธมณฑล
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ถึงแก่กรรมที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 รวมสิริอายุได้ 69 ปี 7เดือน 29 วัน

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2551

Green tea


Green tea meaning it is made solely with the leaves of Camellia sinensis, that has undergone minimal oxidation during processing. Green tea originates from China and has become associated with many cultures in Asia from Japan to the Middle East. Recently, it has become more widespread in the West, where black tea is traditionally consumed. Many varieties of green tea have been created in countries where it is grown that can differ substantially due to variable growing conditions, processing and harvesting time. Over the last few decades green tea has begun to be subjected to many scientific and medical studies to determine the extent of its long purported health benefits, with some evidence suggesting regular green tea drinkers may have lower chances of heart disease and contracting certain types of cancer.
History

There is archaeological evidence that suggests that tea has been consumed for almost 5000 years, with China and India being two of the first countries to cultivate it. Green tea has been used as traditional medicine in areas such as India, China, Japan and Thailand to help everything from controlling bleeding and helping heal wounds to regulating body temperature, blood sugar and promoting digestion.
The Kissa Yojoki (Book of Tea), written by
Zen priest Eisai in 1191, describes how drinking green tea can have a positive effect on the five vital organs, especially the heart. The book discusses tea's medicinal qualities, which include easing the effects of alcohol, acting as a stimulant, curing blotchiness, quenching thirst, eliminating indigestion, curing beriberi disease, preventing fatigue, and improving urinary and brain function. Part One also explains the shapes of tea plants, tea flowers, and tea leaves, and covers how to grow tea plants and process tea leaves. In Part Two, the book discusses the specific dosage and method required for individual physical ailments.

คุณประโยชน์ของ น้ำชา


จากการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์พบว่า น้ำชามีสาร ประกอบอยู่หลายชนิด ซึ่งมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น คาเฟอีน โพลีฟิีนอล แคททาซีนโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินซี วิตามินบี คอมเพล็ก วิตามินซี ฟูออไรด์ มังกานีส โปแตสเซียม และ สังกะสี เป็นต้น ซึ่งมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย คือ
1. ทำให้ร่ายกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า
2. ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันโรค หัวใจตีบตัน ช่วยรักษาอาการเจ็บหน้าอก

และกล้ามเนื้อหัวใจ ขาดเลือดหล่อเลี้ยง ช่วยรักษาโรคหลอดเลือดตีบตัน
3. แก้กระหาย ทำให้ชุ่มคอในช่วงอากาศร้อน และการดื่มจะช่วย กระจายความร้อนส่วนเกินในร่างกาย
4. ช่วยย่อยอาหาร ลดประจุในปัสสาวะ
5. ดับกลิ่นปากและป้องกันฟันผุ
6. ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด เช่น ท้องเสียที่เกิดจากแบคทีเรีย
7. ช่วยสมานแผลในลำใส้ ลดอาการอักเสบ เช่นที่ผิวหนัง และ อาการของโรคปอดบวม
8. ช่วยละลายไขมัน ช่วยลดความร้อน ช่วยลดปริมาณน้ำตาลใน เลือด ลดคลอเลสเตอรอล และความดันในเส้นเลือด
9. ช่วยชะลอความชรา ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น
10. ช่วยลดความเครียด และทำให้ความจำไม่เสื่อม
11. ช่วยระบายท้องและลดอาการท้องผูก
12. น้ำชาแก่ 1-2 ถ้วย จะช่วยแก้อาการเมาจากโรคพิษสุรา เรื้อรังและสารพิษในบุหรี่
13. ช่วยกำจัดพยาธิ
14. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารและลำไส้

15. ช่วยรักษาความสมดุลย์ของโลหิตให้มีสภาพความเป็นกรด เป็นด่างอยู่พอดี เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
16. ช่วยบำรุงหัวใจและคลายเครียด
17. ช่วยให้ผิวหนังขาวนุ่มเนียนและลดปานดำอันเกิดจากแดด
ใบชา
ชา กับ ชาวจีนมีความสัมพันธ์กันมาเป็นระยะเวลากว่า สี่พันปีแล้ว และปัจจุบันชาวจีนถือว่า ชาจีนนั้นเป็นเครื่องดื่มที่มี ความสำคัญต่อการดำรงชีวิตเป็นอย่างมาก
ชาไม่เพียงมีคุณสมบัติที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่ทว่า หลังจากที่เรานำชามาชงเป็นน้ำดื่มได้แล้ว ใบชาที่ชงหลายครั้งยัง มีประโยชน์อีกมากมายเช่น
1. นำไปตากแห้งแล้วทำเป็นหมอนหนุน หมอนที่ทำด้วยใบชามี กลิ่นหอมและคลายเครียด
2. นำไปใช้เป็นปุ๋ยต้นพืช
3. น้ำชาอาบน้ำ ช่วยกำจัดกลิ่นตัว ป้องกันการเกิดโรคผิวหนัง
4. ใช้น้ำชาสระผมช่วยให้ผมเงางามและนิ่ม
5. ใช้น้ำชาลดความเครียดทางสายตา เหมือนน้ำยาล้างตาทั่วไป
6. ใช้น้ำชาแก้อักเสบ ล้างแผลสด ช่วยลดความเจ็บปวด และระงับ การเจริญเติบโตของเชื้อโรค
7. ใช้น้ำชาหรือใบชาล้างมือที่ติดกลิ่นเนื้อสัตว์หรือน้ำมัน
8. ใช้กำจัดกิล่นจากการใส่รองเท้า
9. ใช้น้ำชาล้างอุปกรณ์ใหม่ที่ทำจากไม้ ช่วยกำจัดกลิ่นสี
10. นำใบชาแช่ไว้ในตู้เย็น ช่วยกำจัดกลิ่นต่าง ๆ