ลูกอมทรีบอร์

ทรีบอร์เป็นลูกอมสอดไส้ผลิตโดยบริษัทในเครือแคดเบอรี ชเวปส์, และนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยโดยบริษัท แคดเบอรี อาดัมส์ (ประเทศไทย) จำกัด.
ทรีบอร์ในอดีตในช่วงทศวรรษที่ 80 ถึง 90 จะมีแพคเกจแบบห่อด้วยกระดาษพลาสติกชิ้นเดียวแล้วบิดเกลียวปิดด้านหัวกับด้านท้าย. พอมาในทศวรรษที่ 2000 จะมีการปรับโฉมเป็นอีกแบบที่มีลักษณะมิดชิดมาก

กล้วยน้ำวา

สถานการณ์ทั่วไป
กล้วยน้ำว้าเป็นพืชที่คนส่วนใหญ่รู้จักดีมากที่สุด เพราะสามารถใช้ทุกส่วนของต้น ผลสามารถใช้รับประทานผลสุกและประกอบอาหารได้มากชนิด รวมทั้งผลิตภัณฑ์สามารถส่งขายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ถ้าหากมีการปรับปรุงคุณภาพให้ดีกว่าเดิม และมีการเพิ่มปริมาณผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด จะสามารถทำรายได้ให้ประเทศได้มากขึ้น
ลักษณะทั่วไปของพืช
กล้วยน้ำว้าเป็นพืชล้มลุกขนาดใหญ่ สูงประมาณ 2-5 เมตร ชอบอากาศร้อนชื้นและอบอุ่น อุณหภูมิที่เหมาะไม่สมควรต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่า 35 องศาเซลเซียส อุณหภูมิที่ต่ำทำให้กล้วยแทงปลี(การออกดอก) ช้า ควรมีความชื้นสัมพัทธ์อย่างน้อย 60% ปริมาณฝนตกเฉลี่ย 200-220 มม./เดือน ส่วนดินที่เหมาะสมควรเป็นดินที่มีความสมบูรณ์ การระบายน้ำดี และหมุนเวียนอากาศดี มีความเป็นกรดเป็นด่างระหว่าง 4.5-7 แต่ที่ดีควรอยู่ในระดับ 6 ซึ่งจะพบทั่วๆไป ในพื้นที่แถบเอเชีย แต่ถ้าพื้นที่นั้นมีอากาศร้อนยาวนาน แต่มีการชลประทานที่ดี คือ มีน้ำสม่ำเสมอจะสามารถปลูกกล้วยได้ดี และให้ผลผลิตสม่ำเสมอ กล้วยน้ำว้าจะใช้ระยะเวลาการปลูกถึงเก็บเกี่ยวผลใช้ระยะเวลาประมาณ1 ปี จำนวน 10 หวี/เครือ ตั้งแต่ปลูกจนถึงแทงปลีใช้ระยะเวลา 250-260 วัน แทงปลีถึงระยะเก็บเกี่ยว 110-120 วัน
การปลูก
วิธีการปลูก
1. ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน
2. ควรขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 50 ซม.
3. ผสมดินปุ๋ยคอกเล็กน้อย วางหน่อกล้วยลงในหลุม
4. กลบดินที่เหลือลงในหลุม
5. กดดินบริเวณโคนหน่อกล้วยให้แน่น
6. ปักไม้หลักและผูกเชือกยึด เพื่อป้องกันลมโยก
7. หาวัสดุคลุมดินบริเวณโคนต้น เช่นฟางข้าว หญ้าแห้ง
8. รดน้ำให้ชุ่ม

ดาราไทย : แตงโม ภัทรธิดา

ชื่อ - สกุล : ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์

ชื่อเล่น : แตงโม

วันเกิด : 13/09/2527

สถานะ : โสด

อายุ : 23 ปี

ส่วนสูง : 168 ซม.

น้ำหนัก : 45 กก.

การศึกษา มหาวิทยาลัยรังสิต

งานอดิเรก ชอบถ่ายรูป ประดิษฐ์งานฝีมือ

ร้องเพลง สะสมรูปถ่าย และเงิน

ของสะสม รูปถ่าย

เสป็ก มีความรับผิดชอบ, ไม่เห็นแก่ตัว

ที่อยู่ 146/12 รามคำแหง24 หัวหมาก บางกระปิ กรุงเทพฯ 10240

ยาพาราเซตามอล

ยาพาราเซตามอล เป็นยาสามัญประจำบ้าน มีขายในชื่อการค้าต่าง ๆ กัน เช่น ไทลีนอล พานาดอล เทมปร้า คาลปอล ซาร่า พาราคิทไซรัป และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีผสมอยู่ในยาแก้ไขหวัดหลายยี่ห้อ เช่น ดีคอลเจน ทิฟฟี่ นูต้า เป็นต้น บางทีก็ผสมอยู่ในยาแก้ปวดเมื่อยคลายกล้ามเนื้อ เช่น มัสคอล นอร์เจสิก พาราฟอน ฟอร์ด เป็นต้น

ยาพาราเซตามอล ใช้เพื่อเป็นยาบรรเทาอาการปวดหรือลดไข้ แต่ไม่สามารถลดอาการกล้ามเนื้อเกร็ง บวมแดง หรือข้ออักเสบได้โดยตัวของพาราเซตามอลเอง
พาราเซตามอลถือเป็นยาสามัญประจำบ้าน สามารถหาซื้อได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ แต่ก็ไม่ควรซื้อเก็บไว้เป็นจำนวนมาก ยาเม็ดพาราเซตามอลมีอายุนานไม่เกิน 5 ปี หลังวันผลิต ส่วนชนิดน้ำสำหรับเด็ก ปกติมีอายุไม่เกิน 3 ปี และถ้าเปิดขวดแล้วไม่ควรเก็บไว้ นานเกิน 6 เดือน แต่ถ้ายามีลักษณะ สี กลิ่น รส เปลี่ยนไปก่อนวันหมดอายุ ก็ควรทำลายทิ้งเสีย

การให้ยาพาราเซตามอลในเด็กควรใช้ช้อนตวงยาที่ได้มาตรฐาน ถ้าให้เป็นหยดหรือเป็นซีซี ต้องใช้หลอดหยดที่แนบมากับยา และสอบถามเภสัชกรให้ชัดเจนว่า ขีดไหนเป็นขีดที่ถูกต้องสำหรับเด็กของท่าน การหยอดยาให้เด็กสามารถหยอดโดยตรงด้วยหลอดหยอดยานั้น หรืออาจผสมน้ำเล็กน้อยก็ได้ แต่ไม่ควรผสมในขวดนมให้เด็กดูด เพราะยาจะทำให้รสชาติของนมเปลี่ยนไป ทั้งยังอาจเกิดปฏิกิริยากับนมได้ด้วย และถ้าเด็กกินนมไม่หมดก็จะได้ยาไม่ครบตามที่กำหนดไว้ และไม่หายไข้

การกินยาพาราเซตามอลไม่ควรกินมากหรือติดต่อกันนานเกินไป เพราะมีผลให้เกิดตับอักเสบและเป็นอันตรายมากได้ ในผู้ใหญ่ที่ใช้แก้ปวดไม่ควรกินต่อเนื่องกันเกิน 10 วัน ในเด็กไม่ควรกินต่อเนื่องกันเกิน 5 วัน ในผู้ใหญ่หรือเด็กที่มีไข้สูงมาก หรือมีไข้ติดต่อกันเกิน 3 วัน หรือเคยมีไข้แล้วหายไปแล้วกลับมามีไข้อีก ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุของไข้ ในเด็กไม่ควรให้กินพาราเซตามอลเกินวันละ 5 ครั้ง นอกจากแพทย์สั่งเป็นพิเศษ

เมื่อใช้พาราเซตามอลไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่แอลกอฮอล์ เพราะจะยิ่งเสริมฤทธิ์การเป็นพิษต่อตับยิ่งขึ้น และก่อนใช้ยาสามัญอื่น ๆ เช่น ยาแก้ไขหวัด ยาแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ควรอ่านดูส่วนประกอบเสียก่อน ว่ามีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบด้วยหรือไม่ เพื่อป้องกันการได้ยาซ้ำซ้อนจนเกินขนาด
ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น ไวรัสตับอักเสบ ตับแข็ง ไม่ควรซื้อพาราเซตามอลมากินเอง เพราะจะทำให้อาการเลวลงได้

การเก็บรักษายาพาราเซตามอล สามารถเก็บในขวดที่ปิดแน่นไม่ตากแดด ไม่ร้อนไม่ชื้น ต้องเก็บยาให้พ้นมือเด็ก และเก็บที่อุณหภูมิห้องธรรมดาได้ ไม่จำเป็นต้องเก็บในตู้เย็น

Golf

Golf is a sport in which individual players or teams of players strike a ball into a hole using several types of clubs. Golf is one of the few ball games that does not use a fixed, standardised playing field or area; defined in the Rules of Golf as "playing a ball with a club from the teeing ground into the hole by a stroke or successive strokes in accordance with the Rules."

The first game of golf for which records survive was played at Bruntsfield Links, in Edinburgh, Scotland, in A.D. 1456, recorded in the archives of the Edinburgh Burgess Golfing Society, now The Royal Burgess Golfing Society.

History

Golf is a very old game of which the exact origins are unclear. The origin of golf is open to debate as to being Chinese, Dutch or Scottish. However, the most accepted golf history theory is that this sport originated from Scotland in the 1100s.[4]
A game somewhat similar to golf was first mentioned in Dōngxuān Records (Chinese: 東軒錄), a Chinese book of 11th Century. It was also mentioned in February 26 in the year 1297 in the Netherlands in a city called Loenen aan de Vecht. Here the Dutch played a game with a stick and leather ball. Whoever hit the ball into a target several hundreds of meters away the most number of times, won.
However, modern golf is considered to be a Scottish invention,[5][6] as the game was mentioned in two 15th century laws prohibiting the playing of the game of gowf. Some scholars have suggested that this refers to another game which is more akin to modern shinty, hurling or field hockey than golf. A game of putting a small ball in a hole in the ground using clubs was played in 17th century Netherlands. The word golf derives from the Dutch kolf meaning stick, club or bat[7] (see: Kolven). Flourishing trade over the North Sea during the Middle Ages and early Modern Period led to much language interaction between Scots, Dutch, Flemish and other languages. There are reports of even earlier accounts of golf from continental Europe.[8]
The oldest playing golf course in the world is The Old Links at Musselburgh Racecourse. Evidence has shown that golf was played on Musselburgh Links in 1672 although Mary, Queen of Scots reputedly played there in 1567.
Golf courses have not always had eighteen holes. The St Andrews Links occupy a narrow strip of land along the sea. As early as the 15th century, golfers at St Andrews, in Fife, established a customary route through the undulating terrain, playing to holes whose locations were dictated by topography. The course that emerged featured eleven holes, laid out end to end from the clubhouse to the far end of the property. One played the holes out, turned around, and played the holes in, for a total of 22 holes. In 1764, several of the holes were deemed too short, and were therefore combined. The number was thereby reduced from 11 to nine, so that a complete round of the links comprised 18 holes.
The major changes in equipment since the 19th century have been better mowers, especially for the greens, better golf ball designs, using rubber and man-made materials since about 1900, and the introduction of the metal shaft beginning in the 1930s. Also in the 1930s the wooden golf tee was invented. In the 1970s the use of metal to replace wood heads began, and shafts made of graphite composite materials were introduced in the 1980s.

เกรซ กาญจน์เกล้า

ชื่อ - สกุล : กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า

ชื่อเล่น : เกรซ

วันเกิด : 10/12/2531

สถานะ : โสด

อายุ : 19 ปี

ส่วนสูง : 174 ซม.

น้ำหนัก : - กก.

การศึกษา เรียน สายศิลป์- ฝรั่งเศส โรงเรียน หอวัง ชั้นม.4/16

งานอดิเรก เล่นดนตรี ดูหนัง ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ

สิ่งที่ชื่นชอบ -

ดาราที่ชอบ-พี่โม,เชียร์

สีที่ชอบสีชมพู,สีฟ้า

ผลไม้ที่ชอบ-ชมพู่

ชอบไปเที่ยว-ทะเล

แนวเพลงที่ชอบ-ป๊อป

ยูโด

ยูโด เป็นศิลปะการป้องกันตัวประเภทหนึ่งที่ถือกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น โดยศาสตราจารย์ จิโกโร คาโน ยูโดมีชื่อเต็มว่า โคโดกัน ยูโด (Kodokan Judo) เดิมเรียกว่า ยูยิตสู (Jiujitsu) ซึ่งเป็นวิชาที่สามารถต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่มีอาวุธด้วยมือเปล่า

ประวัติ

ในประเทศญี่ปุ่นสมัยโบราณ ซึ่งเชื่อว่าตนเองเป็นลูกพระอาทิตย์ มีถิ่นที่อยู่บนเกาะใหญ่น้อยทั้งหลาย ราวๆ 3,000-4,000 เกาะ ประชากรส่วนใหญ่มีความคิดเห็นไม่ตรงกันและไม่สามารถรวมกลุ่มกันได้ ทำให้เกิดการแย่งชิงอำนาจ ผู้ที่ได้รับชัยชนะก็พยายามซ่องสุมเสริมสร้างกำลังพลให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ผู้ที่พ่ายแพ้ก็พยายามที่จะรวบรวมสมัครพรรคพวกที่พ่ายแพ้ขึ้นใหม่เพื่อรอจังหวะช่วงชิงอำนาจกลับคืนมา ในสมัยนั้นประเทศญี่ปุ่น มีแต่การทำสงคราม นักรบของแต่ละเมืองจะได้รับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่ใช้ในสงครามหลายชนิด เช่น การฟันดาบ การยิงธนู การใช้หอก ทวน หลาว การขี่ม้า และ ยูยิตสู ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่ใช้มือเปล่าในระยะประชิดตัว ไม่สามารถที่จะใช้อาวุธได้ถนัด การต่อสู้แบบยูยิตสูมิได้มุ่งที่จะทำให้คู่ต่อสู้มีอันตรายถึงชีวิต แต่มีจุดประสงค์เพื่อให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บและยอมแพ้ ถ้าไม่ยอมแพ้ก็อาจทำให้พิการทุพพลภาพ โดยใช้วิธีจับมือหักข้อต่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย
นักรบญี่ปุ่นในสมัยนั้นจะต้องฝึกการต่อสู้วิชายูยิตสูทุกคน และต้องฝึกสมาธิควบคู่ไปด้วย ทุกคนจะต้องมีความตั้งใจในการฝึก มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายได้ การทำร้ายคู่ต่อสู้ ด้วย ยูยิตสูไม่คำนีงถึงความเมตตาและศีลธรรม และใช้เทคนิคคอยหาโอกาสซ้ำเติมคู่ต่อสู้ตลอดเวลา จึงทำให้อาจารย์ที่ตั้งสถานที่ฝึกอบรมวิชานี้ พยายามคิดค้นประดิษฐ์ท่าทางกลวิธีแตกต่างกันออกไปอย่างอิสระ สถานที่เปิดฝึกสอนหรือที่เรียกว่าโรงเรียนสำหรับสอนวิชายูยิตสูสมันนั้นมีประมาณ 20 แห่ง
ส่วนการต่อสู้อีกประเภทหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาวิชายูโดคือ ซูโม่ ซึ่งเป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งของญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยมแพร่หลาย ซูโม่เป็นการต่อสู้ของคน 2 คน ใช้มือเปล่าและกำลังกายเข้าทำการต่อสู้กันมาแต่สมัยโบราณกว่า 2,500 ปีมาแล้ว นักประวัติศาสตร์ในวิชายูยิตสูได้สนใจซูโม่มาก จากหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ที่รวบรวมโดย Imperial Command ชื่อนิฮอนโซกิ (Nihon-Sho-Ki) ในปี พ.ศ. 1263 กล่าวถึงการแข่งขันในสมัยของจักรพรรด์ซุยนิน ก่อนคริสต์ศักราช 230 ปี (พ.ศ. 313) ยืนยันว่าเป็นการเริ่มต้นของวิชาซูโม่ ซึ่งแปลว่าการต่อสู้โดยใช้กำลังเข้าประลองกัน การต่อสู้ตามหลักวิชาซูโม่ บางท่าจะตรงกับวิชายูยิตสู เช่น การใช้สะโพกเป็นกำลังบังคับขากวาดเหวี่ยงคู่ต่อสู้ให้เสียหลักล้มลงซึ่งท่านี้วิชายูยิตสูเรียกว่า ฮาราย กุชิ (Harai Goshi) เป็นการยืนยันว่าวิชาซูโม่มีความสัมพันธ์กับวิชายูยิตสู

ร ะดับความสามารถของนักยูโด

ระดับความสามารถมาตรฐานของนักยูโดทั้งสองเพศ (ชาย-หญิง) ได้ถูกกำหนดขึ้นโดยมีสีของสายคาดเอวเป็นเครื่องหมาย ระดับความสามารถมาตรฐานดังกล่าวแบ่งออกได้เป็น 2 ระดับใหญ่คือ
ระดับกียู (Kyu) คือระดับที่อาจเรียกว่า นักเรียน
ระดับดาน (Dan) คือระดับที่เรียกว่า ผู้นำ เป็นผู้ซึ่งมีความสามารถสูง ทั้งระดับนักเรียนและระดับผู้นำนี้ยังแบ่งออกเป็นระดับย่อยๆลงอีก โดยมีสีประจำแต่ละระดับไว้ซึ่งแต่ละประเทศกำหนดไม่เหมือนกัน
การกำหนดระดับของนักยูโดในประเทศไทยกำหนดไว้ดังนี้
รองสายดำ ชั้น 5 สาดคาดเอวสีขาว
รองสายดำ ชั้น 4 สายคาดเอวสีเขียว
รองสายดำ ชั้น 3 สาดคาดเอวสีฟ้า
รองสายดำ ชั้น 2 สายคาดเอวสีน้ำตาล
รองสายดำ ชั้น 1 สาดคาดเอวสน้ำตาลปลายดำ
สายดำ ชั้น 1 สายคาดเอวสีดำ
สายดำ ชั้น 2 สายคาดเอวสีดำ
สายดำ ชั้น 3 สายคาดเอวสีดำ
สายดำ ชั้น 4 สายคาดเอวสีดำ
สายดำ ชั้น 5 สายคาดเอวสีดำ
สายดำ ชั้น 6 สายคาดเอวสีขาวสลับแดง
สายดำ ชั้น 7 สายคาดเอวสีขาวสลับแดง
สายดำ ชั้น 8 สายคาดเอวสีขาวสลับแดง
สายดำ ชั้น 9 สายคาดเอวสีแดง
สายดำ ชั้น 10 สายคาดเอวสีแดง

Wisteria

Wisteria is a genus of about ten species of woody climbing vines native to the eastern United States and the East Asian states of China, Korea, and Japan. Aquarists refer to the species Hygrophila difformis, in the genus Hygrophila, as Water Wisteria.
Wisteria vines climb by twining their stems either clockwise or counter-clockwise round any available support. They can climb as high as 20 m above ground and spread out 10 m laterally.
The leaves are alternate, 15 to 35 cm long, pinnate, with 9 to 19 leaflets. The beautiful flowers are produced in pendulous racemes 10 to 80 cm long, similar to those of the genus Laburnum, but are purple, violet, pink or white, not yellow. Flowering is in the spring (just before or as the leaves open) in some Asian species, and in mid to late summer in the American species and W. japonica. The flowers of some species are fragrant, most notably Chinese Wisteria. The seeds are produced in pods similar to those of laburnum, and, like that genus, are poisonous.
The genus was named after Dr. Caspar Wistar (1761 - 1818), a professor of anatomy at the University of Pennsylvania. As a consequence, the name is sometimes given as "Wistaria", but the spelling Wisteria is conserved under the International Code of Botanical Nomenclature.
Wisteria species are used as food plants by the larvae of some Lepidoptera species including brown-tail. It is also an extremely popular ornamental in China and Japan as well as in the United States.

Black Forest gateau

Black Forest gateau (also commonly called Black Forest cake in Canada, the USA and Australia) is the English name for the southern German dessert Schwarzwälder Kirschtorte (literally "Black Forest cherry cake"). It is a popular dessert throughout Germany, Austria and the world.
Typically, Black Forest gateau consists of several layers of chocolate cake, with whipped cream and cherries between each layer. Then the cake is decorated with additional whipped cream, maraschino cherries, and chocolate shavings. In some European traditions sour cherries are used both between the layers and for decorating the top. Traditionally, Kirschwasser is added to the cake, although other liquors are also used (rum is common in Austrian recipes). In the USA, Black Forest gateau is most often prepared without alcohol. In Germany, however, only the traditional recipes with Kirschwasser are widespread, and other variants are very rare.

History

The earliest combination in the Black Forest of cherries, cream and Kirschwasser was probably not in the form of a cake but instead as a dessert. Cooked cherries would be served with cream and perhaps Kirschwasser. A cake combining cherries, biscuit and cream (but without Kirschwasser) probably originated in Switzerland. Today, the Canton of Zug is world-renowned for its Zuger Kirschtorte, which is a biscuit-based cake formerly oozing with Kirschwasser. A version from the Canton of Basle also exists. The confectioner Josef Keller claims to have invented Schwarzwälder Kirschtorte in its present form in 1915 in the then prominent Café Agner in Bad Godesberg. This claim, however, has never been substantiated.
Schwarzwälder Kirschtorte was first mentioned in writing in 1934 (250 Konditorei-Spezialitäten und wie sie entstehen, J.M. Erich Weber, Dresden 1934). At this time it was known especially in Berlin as well as at good confectioners in German, Austrian and Swiss cities. In 1949 it took 13th place in the list of best-known German cakes. From this time onwards, Schwarzwälder Kirschtorte became world-renowned.

พอลล่า เทเลอร์

พอลล่า เทเลอร์ นักแสดงลูกครึ่ง ไทย - อังกฤษ

(คุณพ่อเป็นคนอังกฤษ คุณแม่เป็นคนไทย)

ชื่อไทยว่า พัลลภา

เกิดวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2526

ที่ โรงพยาบาลจุฬา กรุงเทพฯ

แต่ไปเติบโตที่ เมืองเพิร์ท ประเทศออสเตรเลีย

ผลงาน

ผลงานชิ้นแรก :มิวสิกวีดิโอ เพลง ฉันอีกหรือ ของ เจอาร์ วอย
โฆษณาชิ้นแรก : PS. Junior (ตอนอายุ 13 ปี)

ภาพยนตร์

Sexphone / คลื่นเหงา / สาวข้างบ้าน
รักจัง

กีวีผลไม้มหัศจรรย์.

กีวีเป็นผลไม้ของนิซีแลนด์(อันที่จริงมีถิ่นกำเนิดในจีน)ที่เป็น
แหล่งสำคัญของแอนติออกซิแดนท์ ไฟโตเคมิคอและใยอาหาร
กีวีแต่ละผลมีวิตามินซีต่อกรัมมากกว่าส้ม มีใยอาหารมากกว่า
ขนมปังธัญพืช 1 แผ่นและมีโพแทสเซียมในระดับใกล้เคียงกับกล้วย
หอม 1 ลูกนอกจากนียังเหมาะกับการเป็นของว่างทานด่วน เพราะ
เพียงตัดครึ่งก็ใช้ช้อนตักเนื้อเข้าปากได้แล้ว กีวี 1 ผลมีพลังงานเพียง
38-48 กิโลแคลอรี่

France

France (French: IPA: [fʁɑ̃s]), officially the French Republic (French: République française, IPA: [ʁepyˈblik fʁɑ̃ˈsɛz]), is a country whose metropolitan territory is located in Western Europe and that also comprises various overseas islands and territories located in other continents.[11] Metropolitan France extends from the Mediterranean Sea to the English Channel and the North Sea, and from the Rhine to the Atlantic Ocean. French people often refer to Metropolitan France as L'Hexagone (The "Hexagon") because of the geometric shape of its territory.
France is bordered by Belgium, Luxembourg, Germany, Switzerland, Italy, Monaco, Andorra, and Spain. Due to its overseas departments, France also shares land borders with Brazil and Suriname (bordering French Guiana), and the Netherlands Antilles (bordering Saint-Martin). France is also linked to the United Kingdom by the Channel Tunnel, which passes underneath the English Channel.
The French Republic is a democracy that is organised as a unitary semi-presidential republic. Its main ideals are expressed in the Declaration of the Rights of Man and of the Citizen. It is a developed country with the sixth-largest economy in the world.[12] France is the most visited country in the world, receiving over 79 million foreign tourists annually (including business visitors, but excluding people staying less than 24 hours in France).[13] France is one of the founding members of the European Union, and has the largest land area of all members. France is also a founding member of the United Nations, and a member of the Francophonie, the G8, and the Latin Union. It is one of the five permanent members of the United Nations Security Council; it is also an acknowledged nuclear power.
The name France originates from the Franks (Francs), a Germanic tribe that occupied northern Europe after the fall of the Western Roman Empire. More precisely, the region around Paris, called Île-de-France, was the original French royal demesne. The first King of the Franks, Clovis, is regarded as the forefather of the French kings.

Geography

While Metropolitan France is located in Western Europe, France also has a number of territories in North America, the Caribbean, South America, the southern Indian Ocean, the Pacific Ocean, and Antarctica.[15] These territories have varying forms of government ranging from overseas department to overseas collectivity.
Metropolitan France covers 551,695 square kilometres (213,010 sq mi) and possesses a wide variety of landscapes, from coastal plains in the north and west to mountain ranges of the Alps in the south-east, the Massif Central in the south-central and Pyrenees in the south-west. At 4,807 metres (15,770 ft) above sea-level, the highest point in Western Europe, Mont Blanc, is situated in the Alps on the border between France and Italy.[16] Metropolitan France also has extensive river systems such as the Loire, the Garonne, the Seine and the Rhône, which divides the Massif Central from the Alps and flows into the Mediterranean sea at the Camargue, the lowest point in France (2 m / 6.5 ft below sea level).[16] Corsica lies off the Mediterranean coast.

Satellite picture of metropolitan France, August 2002
France's total land area, with its overseas departments and territories (excluding Adélie Land), is 674,843 square kilometres (260,558 sq mi), 0.45% of the total land area on Earth. However, France possesses the second-largest Exclusive Economic Zone (EEZ) in the world, covering 11,035,000 square kilometres (4,260,000 sq mi), approximately 8% of the total surface of all the EEZs of the world, just behind the United States (11,351,000 km² / 4,383,000 sq mi) and ahead of Australia (8,232,000 km² / 3,178,000 sq mi).[17]
Metropolitan France is situated between 41° and 50° North, on the western edge of Europe and thus lies within the northern temperate zone. The north and northwest have a temperate climate, however, a combination of maritime influences, latitude and altitude produce a varied climate in the rest of Metropolitan France.[18] In the south-east a Mediterranean climate prevails. In the west, the climate is predominantly oceanic with a high level of rainfall, mild winters and cool summers. Inland the climate becomes more continental with hot, stormy summers, colder winters and less rain. The climate of the Alps and other mountainous regions are mainly alpine in nature with the number of days with temperatures below freezing over 150 per year and snowcover lasting for up to six months.

Yoghurt

Yoghurt or yogurt, or less commonly yoghourt or yogourt (see spelling below), is a dairy product produced by bacterial fermentation of milk. Fermentation of the milk sugar (lactose) produces lactic acid, which acts on milk protein to give yoghurt its texture and its characteristic tang. Yoghurt substitutes can be made from soya milk.

History

There is evidence of cultured milk products being produced as food for at least 4,500 years since the 3rd millennium BC. The earliest yoghurts were probably spontaneously fermented by wild bacteria living on the goat skin bags carried by the Bulgars (or Hunno-Bulgars), a nomadic people who began migrating into Europe in the 2nd century AD and eventually settled in the Balkans at the end of the 7th century. Today, many different countries claim yoghurt as their own, yet there is no clear evidence as to where it was first discovered.
The use of yoghurt by ancient Turks is recorded in the books Diwan Lughat al-Turk by Mahmud Kashgari and Kutadgu Bilig by Yusuf Has Hajib written in the 11th century. In both texts the word "yoghurt" is mentioned in different sections and its use by nomadic Turks is described. The first account of a European encounter with yoghurt occurs in French clinical history: Francis I suffered from a severe diarrhoea which no French doctor could cure. His ally Suleiman the Magnificent sent a doctor, who allegedly cured the patient with yoghurt.
Until the 1900s, yoghurt was a staple in diets of the South Asian, Central Asian, Western Asian, South Eastern European and Central European regions. The Russian biologist Ilya Ilyich Mechnikov had an unproven hypothesis that regular consumption of yoghurt was responsible for the unusually long lifespans of Bulgarian peasants. Believing Lactobacillus to be essential for good health, Mechnikov worked to popularise yoghurt as a foodstuff throughout Europe. It fell to a Sephardic Jewish entrepreneur named Isaac Carasso to industrialise the production of yoghurt. In 1919, Carasso, who was from Salonika, started a small yoghurt business in Barcelona and named the business Danone ("little Daniel") after his son. Carasso emigrated to the United States during World War II and set up a business in New York City under an Americanised version of the name: Dannon.
Yoghurt with added fruit jam was invented to protect yoghurt from decay. It was patented in 1933 by the Radlická Mlékárna dairy in Prague, and introduced to the United States in 1947, by Dannon.